สิ่งที่หนีไม่พ้นของคนทำงาน นอกจากเดดไลน์ส่งงานก็คือการเสียภาษี ที่ไม่ทันได้ใช้เงินเดือน ก็ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปก่อนแล้ว บางคนเมื่อเปิดดูสลิปเงินเดือนก็รู้สึกใจหาย อยากได้เงินภาษีคืนมาเพื่อนำไปใช้จ่ายที่จำเป็น การวางแผนภาษีด้วยเครื่องมือทางการเงินรูปแบบต่างๆ จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือน เพราะภาษีเลี่ยง ไม่ได้ แต่ลดหย่อนได้ แถมในบางครั้งยังช่วยให้เรามีเงินออมก้อนใหญ่ได้ด้วย
สิ่งที่หนีไม่พ้นของคนทำงาน นอกจากเดดไลน์ส่งงานก็คือการเสียภาษี ที่ไม่ทันได้ใช้เงินเดือน ก็ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปก่อนแล้ว บางคนเมื่อเปิดดูสลิปเงินเดือนก็รู้สึกใจหาย อยากได้เงินภาษีคืนมาเพื่อนำไปใช้จ่ายที่จำเป็น การวางแผนภาษีด้วยเครื่องมือทางการเงินรูปแบบต่างๆ จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือน เพราะภาษีเลี่ยง ไม่ได้ แต่ลดหย่อนได้ แถมในบางครั้งยังช่วยให้เรามีเงินออมก้อนใหญ่ได้ด้วย
ก่อนจะตัดสินใจซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษี มาดูกันก่อนว่าประกันชีวิตชีวิตมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง?
อย่างที่บอกว่าประกันชีวิตมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งเงื่อนไขออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. กลุ่มประกันชีวิตทั่วไป ได้แก่ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา และประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ กลุ่มนี้เป็นประกันที่เน้น คุ้มครองชีวิตและการออมเงิน สามารถใช้สิทธิ์เพื่อลดหย่อนภาษีตามจริงได้สูงสุด 100,000 บาท รวมกับคู่สมรสที่ไม่มีรายได้อีกไม่เกิน 10,000 บาท
เงื่อนไข: ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป หากเป็นประกันที่จ่ายเงินคืนทุกปี จำนวนเงินคืนต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปี หรือหากจ่ายเงิน คืนตามช่วงเวลาต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมของแต่ละช่วง กรณียกเลิกสัญญา หรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อน ภาษีของกรมธรรม์ฉบับนั้นได้ และต้องจ่ายคืนภาษีย้อนหลังทั้งหมดที่ได้รับการลดหย่อนไป บวกกับดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย ทั้งนี้ ประกันชีวิตที่ซื้อจะต้องอยู่ภายใต้การรับประกันของบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น
2. ประกันชีวิตควบการลงทุน สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุด 100,000 บาท โดยจะคำนวณเฉพาะส่วนที่เป็นเบี้ยประกันชีวิตและค่าใช้จ่ายของ การประกัน รวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปอื่น ๆ จะไม่ทำส่วนที่เป็นการลงทุนมาลดหย่อนภาษี
เงื่อนไข: ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป หากเป็นประกันที่จ่ายเงินคืนทุกปี จำนวนเงินคืนต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปี หรือหากจ่ายเงิน คืนตามช่วงเวลาต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมของแต่ละช่วง กรณียกเลิกสัญญา หรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อน ภาษีของกรมธรรม์ฉบับนั้นได้ และต้องจ่ายคืนภาษีย้อนหลังทั้งหมดที่ได้รับการลดหย่อนไป บวกกับดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย ทั้งนี้ ประกันชีวิตที่ซื้อจะต้องอยู่ภายใต้การรับประกันของบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น
3. ประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณ อายุอื่นๆ* ต้องไม่เกิน 500,000 บาท หากต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเกินกว่า 200,000 บาทสามารถแบ่งเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปใช้สิทธิ์ใน ส่วนของเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปได้จนครบ 100,000 บาท
เงื่อนไข: ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และต้องจ่ายเบี้ยให้ครบก่อนได้รับบำนาญ โดยมีช่วงอายุการเริ่มจ่ายผลประโยชน์ตั้งแต่ 55 - 85 ปีขึ้นไป และจ่ายออกอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ประกันชีวิตที่ซื้อจะต้องอยู่ภายใต้การรับประกันของบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น
*สิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอายุ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่า ด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ
ในบรรดาประกันชีวิตหลากหลายรูปแบบที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ประกันออมทรัพย์ หรือประกันสะสมทรัพย์มีความน่าสนใจ และได้รับความนิยมอย่างมากจาก คนวัยทำงาน เพราะการเลือกใช้ประกันสะสมทรัพย์ลดหย่อนภาษี เป็นวิธีการที่เซฟภาษีได้อย่างคุ้มค่า ได้ประโยชน์หลายต่อ และเหมาะกับคนทำงานทุกช่วงวัย
ชี้เป้าประกันออมทรัพย์ลดหย่อนภาษีตัวแรงแห่งปี
ประกันออมทรัพย์ลดหย่อนภาษี D-Super Saving 10/1
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ประกันสะสมทรัพย์ลดหย่อนภาษี พรูคลิก เซฟวิ่ง 20/8
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
สำหรับใครที่คิดจะซื้อประกันออมทรัพย์ หรือประกันสะสมทรัพย์ลดหย่อนภาษี เรามีข้อควรรู้มาแนะนำดังนี้
1. ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป หากระยะเวลาคุ้มครองสั้นกว่านี้จะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี และควรศึกษาเงื่อนไขทางภาษีอย่างละเอียดก่อน ตัดสินใจทำประกัน
2. พิจารณาทุนประกัน และความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันโดยปกติหากทุนประกันสูง ค่าเบี้ยประกันก็จะสูงตาม ทั้งนี้ควรคำนึงถึงความสามารถ ในการจ่ายเบี้ยของตัวเองด้วย เช่น หากทำอาชีพอิสระ หรือมีรายได้ไม่แน่นอน แนะนำให้เลือกแบบประกันที่จ่ายเบี้ยเพียงสั้นๆ และไม่ลืมพิจารณาค่าเบี้ย ไม่ให้สูงเกินจ่ายไหว
3. มีระยะเวลาคุ้มครองที่เหมาะสมเช่น หากมีภาระหรือครอบครัวที่ต้องดูแล ให้เน้นประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครองยาวๆ เพื่อได้รับความอุ่นใจจาก ความคุ้มครองที่ยาวนานขึ้น
4. เปรียบเทียบความคุ้มค่า ทั้งผลตอบแทนเมื่อครบสัญญา เงินคืนระหว่างปีที่ควรเป็นเท่าไหร่ หรือไม่ต้องการเงินส่วนนี้แต่เน้นรับผลตอบแทนเมื่อครบ สัญญา และความคุ้มครองชีวิตที่เพียงพอต่อความต้องการ
แน่นอนว่าเมื่อเราซื้อประกันออมทรัพย์ลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องตามเงื่อนไข เราก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่นอกเหนือจากนี้ประกันออมทรัพย์ยังมีจุดเด่น อีกหลายอย่างที่ช่วยในการวางแผนการเงินของเราได้เป็นอย่างดี ได้แก่
1. ความเสี่ยงต่ำกว่าผลิตภัณฑ์การเงินบางรูปแบบมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หรือมีโอกาสขาดทุน แต่การออมเงินผ่านประกันชีวิตนั้นจะได้รับผลตอบ แทนที่แน่นอน มีการระบุเงินคืนระหว่างสัญญา ผลตอบแทนเมื่อสิ้นสุดสัญญา ผลประโยชน์จากความคุ้มครองให้เราพิจารณาก่อนตัดสินใจ
2. ได้ความคุ้มครองชีวิตไม่เพียงแค่ประโยชน์เรื่องการออมเงิน แต่เรายังได้รับความคุ้มครองชีวิตจากการทำประกันออมทรัพย์ ซึ่งอุ่นใจได้ว่าคนข้าง หลัง จะได้รับผลประโยชน์ที่แน่นอนและคุ้มค่ากับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป
3. แบบประกันมีความยืดหยุ่นสูงแม้ว่าแผนประกันออมทรัพย์ส่วนมากจะมีระยะเวลาชำระเบี้ยใกล้เคียงกัน แต่ค่าเบี้ยประกันต่อปีจะมีความยืดหยุ่นสูง มาก เราสามารถเลือกแบบที่จ่ายเบี้ยไหว หรือความคุ้มครองที่เหมาะสมกับค่าเบี้ยประกันของเราได้
4. ต่อยอดสู่ความคุ้มครองเพิ่มเติมสามารถใช้ประกันออมทรัพย์เพื่อเป็นสัญญาหลักสำหรับซื้อประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้ายแรงเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ดี ประกันออมทรัพย์ลดหย่อนภาษีก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น เราจะไม่สามารถเบิกถอนเงินจากกรมธรรม์ได้เหมือนกับการออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ หากมี ความจำเป็นจะต้องทำเรื่องเวนคืนกรมธรรม์ซึ่งจะมีเงื่อนไขการรับเงินคืนอื่นๆ ตามมาด้วย ที่สำคัญหากเราซื้อประกันออมทรัพย์ หรือประกันสะสมทรัพย์ลดหย่อนภาษี ยังต้องคำนึงถึงเงื่อนไขทางภาษีก่อนตัดสินใจซื้อหรือเวนคืนกรมธรรม์ หากทำผิดเงื่อนไขก็อาจไม่ได้รับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี หรือโดนภาษีย้อนหลัง
1. รู้ว่าเราต้องเสียภาษีเป็นเงินเท่าไหร่เริ่มจากรู้เงินได้สุทธิเพื่อนำคำนวณอัตราภาษีเงินได้แบบขั้นบันไดด้วยสูตรเงินได้สุทธิ = เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน
จากนั้นจึงคำนวณอัตราภาษีที่ต้องจ่าย ด้วยสูตรภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
หากมีรายได้หลายทางนอกเหนือจากเงินเดือน เกิน 1,000,000 บาทขึ้นไป ให้ลองคำนวณภาษีแบบคิดเหมาเพื่อเปรียบเทียบอัตราภาษีที่ต้องจ่าย ด้วยสูตร
ภาษีแบบเหมา = (เงินได้ทุกประเภท - เงินเดือน) x 0.005 แล้วลองนำตัวเลขที่คำนวณได้ทั้งแบบขั้นบันไดและแบบเหมามาเปรียบเทียบ หากวิธีไหนต้องเสียภาษีสูงกว่า ให้เลือกเสียภาษีตามยอดนั้น
2. ตรวจสอบสิทธิ์ลดหย่อนภาษีทั้งหมดสิทธิ์ลดหย่อนภาษีในแต่ละปีมีหลากหลาย อาทิ ค่าลดหย่อนพื้นฐาน เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว คู่สมรส บิดามารดา เงินบริจาค มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินออมและเงินลงทุน ให้สำรวจให้ครบทุกรายการ ก่อนนำไปวางแผนลดหย่อนภาษี
3. เลือกแบบประกันที่ตอบโจทย์หากตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกซื้อประกันสะสมทรัพย์ลดหย่อนภาษี ก็ควรเปรียบเทียบแบบประกันในท้องตลาดที่ตอบ โจทย์ ตรงความต้องการด้วย จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี และเพิ่มผลประโยชน์ด้านความคุ้มครองที่ตรงใจ
การวางแผนภาษีและบริหารเงินออมคือสิ่งที่วัยทำงานทุกคนต้องมีความรู้ และนำไปใช้อย่างจริงจัง เพราะจะทำให้บรรลุเป้าหมายการออม หรือนำไปสู่อิสรภาพทาง การเงินได้ไม่ยาก การเลือกผลิตภัณฑ์การเงินที่ตอบโจทย์จึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งในที่นี้ประกันออมทรัพย์ หรือประกันสะสมทรัพย์ลดหย่อนภาษี ก็คือหนึ่งในเครื่องมือวางแผนภาษีและสร้างความมั่นคงที่เราอยากแนะนำให้กับทุกคน
Tags :
ประกันการเดินทางออมเพียงครั้งเดียว รับผลตอบแทนคงที่ 1.8%* นาน 10 ปี เบี้ยเริ่มต้น 50,000 บาท ลดหย่อนภาษีได้